ทำไม OEKO-TEX® จึงสำคัญกับการผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์และสิ่งแวดล้อม

ผ้าโพลีเอสเตอร์

ในโลกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้นทุกวัน อุตสาหกรรมสิ่งทอก็ต้องปรับตัวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะผู้ผลิตผ้าโพลีเอสเตอร์ซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่ใช้อย่างแพร่หลายในเสื้อผ้าแฟชั่นและชุดกีฬา หนึ่งในสิ่งที่แบรนด์และโรงงานไม่อาจมองข้ามได้ คือ “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม” ที่การันตีว่าผลิตภัณฑ์ของตนปลอดภัยต่อผู้ใช้ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต


โพลีเอสเตอร์ เส้นใยยอดนิยมที่ต้องมีความรับผิดชอบ

ผ้าโพลีเอสเตอร์

โพลีเอสเตอร์ (Polyester) คือเส้นใยสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเคมี เช่น Terephthalic acid และ Ethylene glycol ซึ่งผ่านกระบวนการหลอมและปั่นเส้นใย มีคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องความทนทาน แห้งเร็ว ไม่ยับ และต้นทุนต่ำ จึงเป็นที่นิยมในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลิตโพลีเอสเตอร์แบบดั้งเดิมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทั้งในแง่ของการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจตกค้างในเนื้อผ้า

นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ “มาตรฐานสิ่งแวดล้อม” มีบทบาทสำคัญมากขึ้น


OEKO-TEX® STANDARD 100 คืออะไร?

OEKO-TEX® STANDARD 100 เป็นหนึ่งในมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์สิ่งทอผ่านการทดสอบสารเคมีอันตรายมากกว่า 100 ชนิด ซึ่งรวมถึง:

  • สารก่อมะเร็ง เช่น Azo dyes ที่ปล่อยสารอะโรเมติกแอมมีน

  • โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท

  • ฟอร์มัลดีไฮด์

  • สารตกค้างจากกระบวนการย้อมและตกแต่งผ้า

การได้รับการรับรอง OEKO-TEX® หมายความว่า ผลิตภัณฑ์สิ่งทอนั้นปลอดภัยต่อการสัมผัสกับผิวหนังของมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กทารกและผู้ที่มีผิวบอบบาง

ระดับของ OEKO-TEX®

OEKO-TEX แบ่งระดับการตรวจสอบออกเป็น 4 ระดับ:

  • Class I: สำหรับเด็กอายุไม่เกิน 3 ปี (มาตรฐานเข้มงวดที่สุด)

  • Class II: สำหรับเสื้อผ้าที่สัมผัสโดยตรงกับผิว

  • Class III: สำหรับเสื้อผ้าที่ไม่สัมผัสผิวโดยตรง (เช่น แจ็คเก็ต)

  • Class IV: สำหรับสิ่งทอที่ใช้ตกแต่งภายใน (เช่น ผ้าม่าน)

ผ้าโพลีเอสเตอร์

 

มาตรฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม

นอกจาก OEKO-TEX® ยังมีมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโพลีเอสเตอร์ เช่น:

1. GRS (Global Recycled Standard)

เหมาะสำหรับโรงงานที่ใช้โพลีเอสเตอร์รีไซเคิล (Recycled Polyester) โดยกำหนดให้วัตถุดิบมาจากแหล่งรีไซเคิลที่ตรวจสอบได้ เช่น ขวด PET และกำหนดมาตรฐานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การใช้สารเคมี และความโปร่งใสในซัพพลายเชน

2. Bluesign®

มุ่งเน้นไปที่กระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานน้อยลง ลดน้ำเสีย และหลีกเลี่ยงสารเคมีที่เป็นอันตราย มีข้อกำหนดครอบคลุมตั้งแต่การผลิตเส้นใย ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป

3. ISO 14001

มาตรฐานระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System) ที่ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรม รวมถึงสิ่งทอ ช่วยให้โรงงานควบคุมผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ประโยชน์ของการรับรองมาตรฐานเหล่านี้

  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มตลาดยุโรปและอเมริกาเหนือ

  • เพิ่มมูลค่าแบรนด์และผลิตภัณฑ์ โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยและความยั่งยืน

  • ลดความเสี่ยงจากการถูกปฏิเสธนำเข้า เนื่องจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเป็นข้อกำหนดที่เข้มงวดในหลายประเทศ

  • เป็นจุดขายในการแข่งขันกับโรงงานอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งยังไม่มีการรับรอง


ความยั่งยืนเริ่มต้นที่กระบวนการผลิต

แม้โพลีเอสเตอร์จะเป็นเส้นใยสังเคราะห์ แต่การผลิตให้ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากโรงงานมีความใส่ใจในมาตรฐานระดับสากลอย่าง OEKO-TEX®, GRS หรือ Bluesign® ก็จะสามารถยกระดับความเชื่อมั่นของลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตเสื้อผ้าที่ทั้งปลอดภัยต่อผู้สวมใส่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือก้าวสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม


แหล่งที่มา